วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ





1. พีระมิดอียิปต์ (The Pyramids of Egypt)

พีระมิดอียิปต์เป็นสิ่งมหัสจรรย์ยุคโบราณเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนในอดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ณ เมืองกีเซ (Giza) ตอนเหนือของกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ ประกอบไปด้วยพีระมิดใหญ่ 3 องค์ คือ พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) คีเฟรน (Chephren) และไมเซอริมุส (Mycerimus) พีระมิดคีออปส์ เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เดิมสูงถึง 481 ฟุต แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 450 ฟุต ฐานของพีระมิดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 32.5 ไร่ ( 13 เอเคอร์ ) สร้างขึ้นโดยการใช้หินทรายตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมก้อนละประมาณ 2.5 ตัน ถึง 30 ตัน โดยใช้หินทั้งหมดกว่า 2.3 ล้านก้อน ใช้แรงงานทาสและกรรมกรในการก่อสร้างประมาณ 100,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 20 ปี สำหรับพีระมิดคีเฟรนหรือพีระมิดรูปสฟิงซ์ซึ่งเป็นคนครึ่งราชสีห์ โดยมีใบหน้าเป็นคนมีตัวเป็นราชสีห์อยู่ในท่าหมอบเฝ้าหน้าพีระมิดคีออปส์สูงประมาณ 66

ทัศมาฮาล

อนุสรณ์แห่งความรักของกษัตริย์ชาห์เจฮานแห่งราชวงศ์โมกุลที่มีต่อมเหสี ข้างใต้เป็นที่ไว้พระศพของ 2 พระองค์เคียงคู่กัน เริ่มสร้างในปีค.ศ. 1631 ใช้เวลากว่า 10 ปีและเงินทองมหาศาลกว่าจะสร้างเสร็จ ตัวอาคารสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวประดับประดาเป็นลวดลายงดงามยิ่ง ตามแผนเดิมเจฮานจะสร้างที่ไว้พระศพของพระองค์ด้วยหินอ่อนสีดำอยู่ตรงข้ามกัน แต่พระองค์กลับถูกจับไปขังไว่เสียก่อนจนสิ้นพระชนม์ในที่คุมขังในที่สุด ความหัศจรรย์ของทัชมาฮาลจึงอยู่ที่ความงามและเรื่องราวอันเป็นกำเนิดของการก่อสร้างที่ยังคงเป็นที่เล่าขานมาจนทุกวันนี้



หอเอนปิซ่า
หอนั้นสูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น เริ่มสร้างในปีค.ศ. 1174 เพื่อใช้เป็นหอระฆังและได้สร้างไปเรื่อย 180 ปีเสร็จไป 3 ชั้นและเอียงออกห่างจากจุดศูนย์กลางไป 5 เซนติเมตรทำให้การก่อสร้างหยุดชะงักไป และกลับมาก่อมาเริ่มสร้างต่ออีกครั้งในปี 1275 โดยสร้างเติมอีก 3 ชั้นและพยายามขืนไม่ให้ชั้นบนนั้นเอียงไปเหมือน 3 ชั้นล่าง แต่อย่างไรก็ดีในขระนั้นหอได้เอียงไปเมตรครึ่งแล้ว ในช่วงศตวรรษ์ที่ 16 หอเอนปิซาได้เอนจากจุดศูนย์กลาง 3.79 เมตร และเมื่อวัดในศตวรรษ์ที่ 19 หอได้เอนเพิ่ม 5 เซนติเมตร และเมื่อมีการวัดไปเรื่อยในปีต่อไปๆหอเอนเพิ่มเรื่อยประมาณ 1.2 มิลลิเมตรต่อปี


กำเเพงเมืองจีน

กำแพงเมืองจีนมีกำเนิดมานานกว่า 2,000 ปีแล้วและยังมีการก่อสร้างเพิ่มเติมหลายยุคหลายสมัย หลายราชวงศ์ ใช้หยาดเหงื่อแรงงานทหาร เชลยศึก บ่าวไพร และกองกำลังส่งเสบียงเสรีมกำลังให้หน่วยต่างๆอีกหลายล้านคน ซึ่งในยุคสมัยนั้นโลกเราแทบจะไม่มีอะไรเลยเป็นเครื่งทุ่นแรงเลยและดินแดนที่สร้างกำแพงยักษ์นี้ยังแห้งแล้งกันดาร ร้อนจัดในฤดูร้อน หนาวจัดในฤดูหนาว จำนวนแรงงานที่สูญเสียไปเท่าไรไม่ทราบแต่กวีจีนได้แต่งเอาไว้ว่า "ใต้กำแพงหมื้นลี้ กระดูกผีคำกันเป็นโครงเสา" นอกจำนวนแรงงานมหาศาลที่ใช้ในการก่อสร้างแล้วความยาวของกำแพงที่ทำให้เรียกว่ากำแพงหมื้นลี้นั้น ความจริงมีความยาวกว่า 5,000 กิโลเมตรยาวกว่าใต้สุดไปเหนือสุดประเทศไทยเสียอีก นอกจากนี้ตลอดความยาวของแนวกำแพง ยังประกอบไปด้วยป้อมค่าย หอเพลิง และหอส่งสัญาณอีกมากมายโดยความกว้างของกำแพงนั้นกว้าง 3-7 เมตง ซึ่งกองทหารม้าสามรถเรียงแถวเดินหน้ากระดานได้เลยที่เดียวและสูง 3-7 เมตร มูลเหตุที่ทำให้สร้างกำแพงเมืองจีนนั้น เนื่องจากทางตอนใต้ของนั้นอุดทสมบรูณ์ผิดกับทางตอนเหนือที่มีแต่ทะเลทรายทำให้ศัตรูทางตอนเหนือยกพลมาตีบ่อยๆ จนจิ้นซี่ฮ้องเต้มีพระราชโองการให้สร้างกำแพงปิดล้อมทางภาคเหนือเอาไว้ ในสายตาของมนุษย์อวากาศที่ขึ้นไปโคจรรอบนั้นได้รายงานกลับโลกมาว่าสิ่งก่อสร้าสิ่งเดียวที่มองเห็นอยู่ได้นั้น คือ "กำแพงยักษ์ รูปร่างเหมือนงูที่กำลังกระหวัดรัดโลกอยู่เหนือเมืองจีน


นครวัด

ปราสาทนครวัดเป็นศิลปะขอมแบบนครวัด เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธไศวนิกาย ผู้สร้างคือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (Suryavarman II) ในราวปี พ.ศ. 1656 -1693 ปราสาทนครวัด นี้เป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาลเมื่อราว 1,000 ปีมาแล้ว สร้างขึ้นโดยมีกำแพงล้อมรอบ มีความยาว 1,025 เมตร ความกว้าง 802 เมตร รวมพี้นที่ทั้งหมดประมาณ 200,000 ตารางเมตร ปรางค์ปราสาทสูง 65 เมตร นักโบราณคดี สันนิษฐานว่าจะต้องใช้หินในการก่อสร้างรวมกว่า 6 แสนลูกบาศก์เมตร ใช้ช้างกว่า 4 หมื่นเชือก และแรงงานคนนับแสน โดยทำการขนหินจากเทือกเขาพนมกุเลน (ล่องมาตามแม่น้ำโขง) ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 50 กิโลเมตร ปราสาทนครวัดมีเสาหินรวมกันทั้งหมด 1, 800 ต้นแต่ละต้นหนักกว่า 10 ตันขึ้นไป ใช้ช่างฝีมือหรือประติมากร สลักจำหลักหินราว 5,000 คน ใช้เวลาแกะสลัก 40 ปี รวมเวลาในการก่อสร้างต่อเนื่องนานหลายร้อยปี จึงจะสร้างเสร็จ ปราสาทนครวัดสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆ เพราะเป็นการสร้างเทวาลัยและเทวสถานสำหรับไว้พระบรมศพของพระองค์ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงนับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุด เชื่อว่า เมื่อสวรรคตแล้วดวงวิญญาณของพระองค์จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระวิษณุ จึงสร้างมหาปราสาทใหญ่โต เพื่อเป็นการแสดงถึงความทะเยอทะยานและเป็นการบูชาแด่องค์พระวิษณุ ปราสาทนครวัดมีพระปรางค์ทั้งหมด 5 ยอด มีทางเดินเข้าสู่ระเบียงชั้นกลางและชั้นบนสุด มีปรางค์พระประธานอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยปรางค์เล็กอยู่ทั้ง 4 ทิศ มีทางเดินเป็นบันไดขึ้นไปทีละขั้น ซึ่งบันไดนี้เป็นเปรียบเสมือนสะพานที่อสูรกายและเทวดา กำลังกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤต ใครที่เดินผ่านไปเชื่อว่าได้ประพรมน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้มีโชคลาภหรือหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือบ้างก็เปรียบว่าเป็นสะพานรุ้งนำขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ปราสาทพระปรางค์องค์กลาง ใช้เป็นที่ตั้งโกศพระบรมศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เมื่อทรงสวรรคต เพื่อให้ประชาชนเข้าไปกราบสักการะบูชา
แหล่งทีมา

http://www.paiteaw.com/gallery/45/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น